
การทำ Needle Biopsy มี 2 วิธี ซึ่งการทำ Needle Biopsy สามารถเลือกทำได้ทั้ง2 วิธี คือ Fine Needle Aspiration (FNA) และ Core Needle Biopsy (CNB) ซึ่งวิธีแรกจะใช้เข็มเล็กเจาะดูดเซลล์บางส่วนจากรอยโรคที่สงสัยส่งตรวจทางห้องตรวจด้านเซลล์วิทยา ส่วนวิธีหลังจะใช้เข็มขนาดใหญ่เจาะเก็บชิ้นเนื้อบางส่วนออกมาจากรอยโรคที่สงสัยส่งตรวจทางห้องพยาธิวิทยา
สำหรับข้อดีของวิธี Fine Needle Aspiration (FNA) คือ ทำได้สะดวก รวดเร็ว อุปกรณ์ไม่ยุ่งยาก ราคาถูกกว่า บาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อบริเวณรอยโรคน้อยกว่า แผลหลังจากทำวิธีนี้จะเล็กเหมือนรอยถูกเข็มเจาะเลือด และภาวะแทรกซ้อนหลังการทำหัตถการต่ำเช่น การเสียเลือด แผลติดเชื้อ เป็นต้น ในขณะที่ข้อเสียของการทำ Fine Needle Aspiration (FNA) ก็คือ ต้องอาศัยความชำนาญของทั้งแพทย์ผู้ตรวจ และ ผู้อ่านผล (Cytopathologist) ในการวินิจฉัยค่อนข้างมาก รอยโรคบางอย่างไม่เหมาะกับการพิสูจน์ชิ้นเนื้อด้วยวิธีนี้ เช่น หินปูนขนาดเล็ก หรือ รอยโรคบางอย่างที่มีเซลล์เยื่อบุค่อนข้างน้อย เช่น Infiltrative Lobular Carcinoma นอกจากนี้วิธีนี้อุปกรณ์ที่ใช้คือเข็มเล็กขนาดพอๆกับเข็มฉีดยาจึงมีโอกาสที่จะดูดได้เซลล์ปริมาณไม่มากพอต่อการวินิจฉัยค่ะ
ส่วนข้อดีของวิธี Core Needle Biopsy (CNB) คือ สามารถใช้กับรอยโรคหลากหลายแบบไม่ว่าจะเป็นก้อน หินปูนขนาดเล็ก โครงสร้างเนื้อเต้านมผิดรูป หรือ เนื้องอกในท่อน้ำนม เป็นต้น นอกจากนี้วิธีนี้ให้ความจำเพาะ (specificity) และความไว (Sensitivity) ในการวินิจฉัยสูงกว่า FNA และที่สำคัญชิ้นเนื้อที่ได้จากวิธีนี้สามรถนำไปตรวจหาค่า ER PR และ HER2 ต่อไปได้ ซึ่งค่าเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ในการพิจารณาเรื่องการให้ยาในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว ข้อเสียของการทำ Core Needle Biopsy (CNB) นั้นคือ ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความจำเพาะ วิธีการทำยุ่งยากกว่า ราคาแพงกว่า เกิดบาดแผลที่กว้างกว่า มีโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนได้มากกว่า เช่น เลือดออก แผลติดเชื้อ ต้องมีการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำหลังการเจาะ นอกจากนี้วิธีนี้อาจทำให้ผลทางพยาธิวิทยาของรอยโรคถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากการตรวจนี้จะเลือกสุ่มตัดชิ้นเนื้อจากแค่เพียงบางส่วนของรอยโรคค่ะ
ขอบคุณคำตอบจาก อาจารย์แพทย์หญิงวศิญาภาณิ์ พัฒนจารีต ด้วยครับ